Health

  • จอประสาทตาเสื่อม โรคที่มาจากความเสื่อมของอวัยวะตามอายุ
    จอประสาทตาเสื่อม โรคที่มาจากความเสื่อมของอวัยวะตามอายุ

    จอประสาทตาเสื่อม โรคที่มาจากความเสื่อมของอวัยวะตามอายุ

    จอประสาทตาเสื่อม คือโรคที่เกิดจากจอประสาทตาในลูกตาเสื่อมสภาพ จนไม่สามารถรับภาพได้ดีเท่าเดิม โรคจอประสาทตาเสื่อมนี้จะทำให้การมองเห็นแย่ลงเรื่อยๆ มองภาพบิดเบี้ยว มองเห็นสีได้น้อยลง การมองเห็นช่วงกลางภาพหายไป เมื่อถึงจุดหนึ่งจะสูญเสียการมองเห็นส่วนใหญ่ไปในที่สุด

    จอประสาทตาเสื่อมมักจะเกิดในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี เนื่องจากสาเหตุส่วนใหญ่ของโรคมาจากความเสื่อมของอวัยวะตามอายุ บางครั้งจึงเรียกโรคจอประสาทตาเสื่อมที่มักเกิดในผู้สูงอายุว่า Age – Related Macular Degeneration หรือที่เรียกว่า AMD นั่นเอง ผู้ป่วยโรคนี้มักรู้ตัวช้า เนื่องจากในผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการของโรคจะค่อยๆ เกิด บางครั้งก็เกิดขึ้นกับดวงตาเพียงข้าง เมื่อผู้ป่วยใช้ดวงตาสองข้างในการมองจึงไม่ทราบว่าภาพการมองเห็นของตนกำลังผิดเพี้ยนไป

    จอประสาทตาเสื่อม แบ่งเป็น 2 ชนิด

    1. จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง (Dry AMD)

    จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง (Dry Age – Related Macular Degeneration หรือ Dry AMD) คือโรคจอประสาทตาเสื่อมที่เกิดจากตัวเซลล์ในจอประสาทตาเสื่อมสภาพและจอตาบางลงเองตามอายุการใช้งานเมื่อมีอายุมากขึ้น พบได้มากถึง 85 – 90% ของผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด

    อาการของโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งจะค่อยๆแสดงออกมา ผู้ป่วยจะเริ่มมองไม่เห็นในที่มืด จำหน้าคนรู้จักไม่ได้ ภาพที่เห็นเริ่มเบลอ เบี้ยวผิดรูป และการมองเห็นจะแย่ลงเรื่อยๆ หากไม่ลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม และในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาจอประสาทตาเสื่อมชนิดนี้ให้หายขาดอีกด้วย

    2. จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก (Wet AMD)

    จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก (Wet Age – Related Macular Degeneration หรือ Wet AMD) คือโรคจอประสาทตาเสื่อมอันเกิดจากเส้นเลือดที่ผิดปกติภายในจอตา เมื่อเส้นเลือดที่ผิดปกตินั้นแตกออก เลือดและของเหลวในเลือดจะไหลออกและคั่งอยู่ในบริเวณจอประสาทตา ทำให้บริเวณนั้นบวมผิดปกติจนการรับภาพของจอประสาทตาผิดเพี้ยนไปจากเดิม

    จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกพบได้เพียง 10 – 15% เท่านั้น และมักเป็นความผิดปกติที่เป็นผลมาจากพันธุกรรม ดังนั้นแม้จะเป็นรูปแบบที่พบได้น้อย แต่มักจะพบได้ในผู้ป่วยที่คนในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกมาก่อน โดยที่จอประสาทตาเสื่อมชนิดนี้สามารถเกิดขึ้นมาได้เองทันที หรือสามารถเกิดต่อเนื่องหลังเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งก็ได้

    จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกนี้ อาการจะรุนแรงมากกว่าชนิดแห้ง อาการจะเกิดขึ้นเร็วและผู้ป่วยสามารถสูญเสียการมองเห็นส่วนใหญ่ไปภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ และมีโอกาสที่จะทำให้สูญเสียการมองเห็นทั้งหมดด้วย

    ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม

    ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าจอประสาทตาเสื่อมเกิดจากอะไร แต่ผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมมักจะมีปัจจัยเสี่ยงร่วมกัน ดังนี้

    1. อายุ จอประสาทตาเสื่อมพบมากในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
    2. คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม จอประสาทตาเสื่อมมีโอกาสที่จะส่งต่อทางพันธุกรรมได้ทั้งชนิดแห้งและชนิดเปียก คนในครอบครัวของผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีโอกาสเกิดโรคได้มากกว่าคนทั่วไป
    3. เชื้อชาติ จอประสาทตาเสื่อมจะพบในคนเชื้อชาติคอเคเซียน (Caucasians) หรือที่เรียกว่าคนผิวขาว ได้มากกว่าเชื้อชาติอื่นๆ
    4. การสูบบุหรี่ เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคได้มาก
    5. โรคเบาหวาน มักทำให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือด ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคจอประสามตาเสื่อมชนิดเปียกได้มาก
    6. โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นโรคที่เกี่ยวกับความดันโลหิด และไขมันในเลือด ซึ่งปัจจัยทั้งสองอย่างเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกได้มากเช่นเดียวกัน

    สิ่งหนึ่งที่ผู้คนเข้าใจผิดอย่างมากเกี่ยวกับโรคจอประสาทตาเสื่อม คือการใช้สายตามากไป อย่างการเล่นโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ หรือแสงยูวีจากแดด ทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งในความเป็นจริงนั้นไม่ใช่เลย แม้การใช้สายตามากเกินไป หรือรังสียูวีในแสงแดดจะทำให้เกิดโรคต้อ หรือโรคอื่นๆกับดวงตาได้ แต่ไม่ได้มีผลทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมได้แต่อย่างใด

    สาเหตุและอาการของโรคจอประสาทตาเสื่อม 

    โดยปกติแล้ว จอประสาทตา (Macula หรือ Macula lutea) เป็นกลุ่มของเซลล์ในพื้นที่หนึ่งของจอตา (Retina) จอประสาทตาจะมีหน้าที่ทำให้คนเรามองจุดโฟกัสกลางสายตาชัดกว่าภาพการมองเห็นในส่วนอื่นๆ

    อย่างเช่นเวลาอ่านหนังสือ ผู้อ่านจะอ่านออกแค่ตัวหนังสือในบริเวณกลางภาพในตำแหน่งที่เรามองไปเท่านั้น เราอาจจะอ่านคำที่อยู่ติดกันได้ แต่ไม่สามารถอ่านคำที่ห่างออกไปมากกว่านั้นได้ เนื่องจากภาพตัวหนังสือที่อยู่รอบๆจะไม่ชัดเท่าตรงกลางนั้นเอง

    ดังนั้นเมื่อจอประสาทตาเสื่อมสภาพลง จะทำให้ภาพการมองเห็นมีผลกับตรงกลางภาพมากกว่าส่วนอื่นๆของภาพนั่นเอง

    แล้วจอประสาทตาเสื่อม เกิดจากอะไร? ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าปัจจัยใดทำให้เกิดจอประสาทตาเสื่อม แต่จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งส่วนใหญ่เกิดจากอายุที่มากขึ้น เซลล์ที่ตอบสนองต่อแสงในจอประสาทตาค่อยๆเสื่อมสภาพและหายไปอย่างช้าๆ หรือเยื่อหุ้มในชั้นที่อยู่ใกล้จอตาค่อยๆบางลงจนมีผลต่อจอประสาทตา ทำให้ภาพการมองเห็นส่วนกลางภาพค่อยๆแย่ลงนั่นเอง

    ส่วนจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกนี้ คาดว่าส่วนใหญ่เกิดจากพันธุกรรมที่เมื่อถึงอายุหนึ่งเส้นเลือดที่ผิดปกติหลังจอตาจะบวมหรือแตกออก ทำให้เกิดเลือดคั่งจนดันให้จอตา (Retina) บวมมากกว่าปกติจนส่งผลต่อจอประสาทตา (Macula) ทำให้เกิดจุดบอดตรงกลางภาพได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง

    จอประสาทตาเสื่อม

    อาการจอประสาทตาเสื่อม โดยทั่วไปมีดังนี้

    • การมองเห็นแย่ลง โดยเฉพาะส่วนกลางภาพ จะเห็นเป็นภาพเบลอหรือเห็นเป็นสีเทาดำมืดไปเลย อาจจะเกิดขึ้นกับตาข้างเดียว หรือทั้งสองข้างก็ได้
    • ภาพการมองเห็นบิดเบี้ยวผิดรูป
    • ต้องใช้แสงสว่างมากกว่าปกติเพื่อให้มองเห็นชัด และมองเห็นได้น้อยลงเมื่ออยู่ในที่แสงน้อย
    • ต้องใช้แสงมากขึ้นเพื่อมองเห็นสี โดยปกติแล้วหากอยู่ในที่มืดดวงตาคนเราจะเห็นภาพเป็นสีขาวดำ เมื่อมีแสงสว่างประมาณหนึ่งจึงจะเห็นสี แต่ผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมจะต้องใช้แสงสว่างมากกว่าคนทั่วไปในการมองเห็นสีนั่นเอง
    • แยกใบหน้าได้น้อยลง เนื่องจากภาพการมองเห็นไม่ชัดเท่าเดิม
    • อ่านหนังสือยากขึ้น

    สัญญาณเตือนและแนวทางการรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อม

    อาการเริ่มต้นของแต่ละชนิดนั้นต่างกัน หากเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกจะสามารถสังเกตอาการได้ง่ายกว่า เนื่องจากอาการจะรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ในโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งนั้น ในช่วงแรงผู้ป่วยจะสังเกตอาการได้ยากมาก หรือในบางรายจะไม่แสดงอาการเลย แต่สามารถตรวจพบได้หากเข้าพบกับจักษุแพทย์

    ในกรณีที่โรคแสดงอาการ โรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งจะทำให้ผู้ป่วยเริ่มเห็นภาพมัวลง ไม่ชัดเท่าเดิม เส้นที่เคยเห็นเป็นเส้นตรงจะดูเบี้ยวและคดเคี้ยวมากขึ้น เมื่อเริ่มเป็นหนักขึ้นช่วงกลางภาพการมองเห็น จะเป็นสีเทาหรือสีดำ ซึ่งเป็นการสูญเสียการมองเห็นไปบางส่วนนั่นเอง

    จอประสาทตาเสื่อม รักษาด้วยวิธีการที่แตกต่างกันตามชนิดของโรค หากเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้เพื่อไม่ให้โรคลุกลามมากกว่าเดิม และไม่ให้พัฒนาไปเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกที่อันตรายกว่า

    โดยแนวทางการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการลุกลามของโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งที่แพทย์แนะนำ มีดังนี้

    1. มาตามนัดติดตามผลของจักษุแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพราะหากอาการแย่ลงจะได้รักษาได้ทัน
    2. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะการมองเห็นที่เสียไปแล้วไม่สามารถรักษาให้กลับเป็นแบบเดิมได้ ผู้ป่วยจำเป็นต้องมีวินัยอย่างมาก
    3. งดสูบบุหรี่
    4. ควบคุมโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โดยการดูแลตัวเองและทำตามคำแนะนำของแพทย์อยู่เสมอ
    5. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่ช่วยชะลอจอประสาทตาเสื่อม ได้แก่อาหารที่มีส่วนประกอบของวิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน แร่ธาตุสังกะสี ทองแดง และลูทีน ซึ่งพบได้ในผักผลไม้ และจะพบมากในผักใบเขียว หากไม่สามารถทานผักผลไม้เป็นประจำ สามารถทานเป็นอาหารเสริมแทนได้ แต่ก็ไม่ควรทานเยอะจนเกินไป

    ในกรณีที่สูญเสียการมองเห็นส่วนกลางภาพไปแล้ว จะมีวิธีรักษาที่เรียกว่า The implantable miniature telescope (IMT) เป็นการรักษาโดยการผ่าตัดใส่กล้องโทรทัศน์ขนาดเล็กเข้าไปที่ดวงตา เพื่อเปลี่ยนจุดรับแสงที่เป็นจุดโฟกัสกลางภาพ จากจอประสาทตาที่เสียหายไปแล้ว เป็นจอตาในส่วนอื่นๆที่ยังสุขภาพดีอยู่ เพื่อให้การมองเห็นกลับมาใช้งานได้ใกล้เคียงกับปกติ

    แต่การรักษานี้มีข้อจำกัดหลายอย่าง ผู้เข้ารับการรักษาต้องอายุ 75 ปีขึ้นไป เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งที่อาการหนัก ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีการอื่นได้อีก และต้องไม่เคยเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาในการรักษาโรคต้อกระจกมาก่อน

    ส่วนในผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการดังนี้

    • การฉายแสงเลเซอร์ 

    การฉายเลเซอร์เพื่อรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกมี 2 วิธี ได้แก่

    1. Laser Photocoagulation วิธีการฉายเลเซอร์แบบนี้ จะใช้เลเซอร์พลังงานสูงยิงเข้าที่จอตาในส่วนที่มีเส้นเลือดผิดปกติ ความร้อนของเลเซอร์จะทำให้เลือดไม่ไหลออกจากเส้นเลือด หรือทำให้เลือดออกช้าลง สามารถชะลออาการของโรคได้ แต่วิธีการนี้มีข้อเสียคือความร้อนของเลเซอร์จะทำให้จอตาบางส่วนถูกทำลายไปด้วย ผู้ป่วยจะเกิดจุดมืดที่บางตำแหน่งของการมองเห็นอย่างถาวร
    2. Photodynamic Therapy หรือ PDT เป็นวิธีการรักษาด้วยการใช้เลเซอร์ร่วมกับการใช้ยา โดยแพทย์จะฉีดยาดังกล่าวเข้าสู่ร่างกาย เมื่อยาไปจับบนเส้นเลือดผิดปกติที่ดวงตาแล้ว แพทย์จะยิงเลเซอร์เข้าไปในบริเวณจอตา ตัวเลเซอร์จะไปกระตุ้นตัวยาให้ออกฤทธิ์ ทำให้เส้นเลือดที่ผิดปกติอุดตันและฝ่อไปในที่สุด การรักษาด้วยวิธีนี้ตัวยาและเลเซอร์จะออกฤทธิ์เฉพาะที่ทำให้หลังการรักษาจอตาไม่ถูกทำลายไปด้วยเหมือนกับวิธีแรก แต่วิธีนี้มีข้อเสียคือตัวยาที่ฉีดเข้าร่างกายอาจทำให้เกิดอันตรายกับดวงตาหากถูกแสงโดยตรงในช่วงแรก และอาจจะมีผลข้างเคียงทำให้ปวดหลังหรือร่างกายส่วนอื่นๆ ได้
    • การฉีดยาในกลุ่ม Anti-VEGF

    ยา Anti – VEGF หรือ Anti – Vascular Endothelial Growth Factor เป็นยาสำหรับฉีดโดยแพทย์ ช่วยให้เส้นเลือดผิดปกติที่เป็นต้นเหตุของโรคฝ่อไป แพทย์จะฉีดยานี้เข้าที่ตาขาว เพื่อให้ตัวยาเข้าไปที่น้ำเลี้ยงในลูกตา และไปออกฤทธิ์ที่เส้นเลือดผิดปกติโดยตรง เป็นวิธีรักษาที่ต้นเหตุ เห็นผลเร็ว และผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่รู้สึกเจ็บขณะฉีดยา แต่วิธีการนี้มีข้อเสียเช่นกัน คือผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์บ่อย ช่วงแรกๆอาจจะต้องมาพบแพทย์เพื่อฉีดยาประมาณเดือนละ 3 ครั้ง เมื่อเวลาผ่านไปอาจจะลดจำนวนลงโดยแพทย์จะดูตามอาการอีกครั้งหนึ่ง

    • การผ่าตัดรักษาจอประสาทตาเสื่อม

    การผ่าตัดรักษาจอประสาทตาเสื่อมจะเป็นการผ่าตัดเพื่อนำเส้นเลือดที่ผิดปกติ หรือนำเลือดที่คั่งอยู่หลังจอตาออกไป โดยวิธีการนี้เป็นวิธีการรักษาที่ไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่นัก เนื่องจากเป็นการรักษาที่ไม่เห็นผลเท่าที่ควร

    ผู้ป่วยแต่ละรายต้องเข้ารับการรักษาด้วยวิธีใดนั้น จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของจักษุแพทย์เจ้าของไข้ ส่วนอาการหลังการรักษาก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดใด และเป็นในระยะใด หากเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง จะยังไม่มีวิธีรักษา อาการหลังปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะไม่ได้หายขาดหรือการมองเห็นดีขึ้น แต่จะช่วยไม่ให้สายตาแย่ลงกว่าเดิม

    ส่วนผลการรักษาหลังจากเข้ารับการรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกนั้น หากอาการก่อนการรักษาไม่หนักมาก ก็มีโอกาสที่ผู้ป่วยจะกลับมามีสายตาที่ปกติหรือใกล้เคียงกับปกติได้ แต่ถ้าอาการแย่อยู่แล้วตั้งแต่ต้น หลังการรักษาอาการจะไม่ได้ดีขึ้นมากนัก แต่ก็จะไม่แย่ลงไปกว่าเดิม ทั้งนี้ผลการรักษาขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย

    วิธีป้องกันจอประสาทตาเสื่อม

    วิธีการป้องกันจอประสาทตาเสื่อมนั้น คล้ายกับการรักษาจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง คือต้องงดสูบบุหรี่ ควบคุมโรคที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดจอประสาทตาเสื่อม และทานอาหารที่มีประโยชน์ หากเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป และผู้ที่คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ควรเข้าพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจดวงตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และควรทานอาหารที่มีส่วนประกอบของวิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน แร่ธาตุสังกะสี ทองแดง และลูทีน เพื่อป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะเป็นการดีที่สุด

    จอประสาทตาเสื่อมส่วนใหญ่เป็นโรคที่รักษาไม่ได้ ทำได้แค่ชะลอให้เกิดช้าลง เพื่อให้ใช้งานดวงตาได้นานขึ้นเท่านั้น ดังนั้นผู้ที่รู้ตัวว่าตนเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ให้พยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้อื่นๆให้มากที่สุด เพราะหากสูญเสียการมองเห็นบางส่วนไปแล้ว ก็จะเสียไปเลย ไม่สามารถแก้ไขได้ หรือแก้ไขได้ยาก การใช้ชีวิตประจำวันก็จะยากขึ้นมากอีกด้วย

    ที่มา

     

    ติตดามอ่านเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่  hernan-urbina-joiro.com

    สนับสนุนโดย  ufabet369.net

Economy

  • ทำไมจ้าง แรงงานต่างด้าว แต่ไม่จ้างคนไทย
    ทำไมจ้าง แรงงานต่างด้าว แต่ไม่จ้างคนไทย

    เคยสงสัยกันมั้ยว่า ทำไมเดินไปตลาด ร้านอาหาร หรือแถวไซต์ก่อสร้าง เราถึงเห็น แรงงานต่างด้าว เต็มไปหมด ไม่จ้างคนไทยทำงานกันแล้วหรือ ทำไมแรงงานต่างด้าวมาอยู่ในไทยเยอะจัง วันนี้จะชวนทุกคนมาวิเคราะห์เรื่องนี้กัน

    สรุปสถานการณ์การย้ายถิ่นฐานบนโลก

    อันดับแรก พี่ทุยขอฉายภาพให้เห็นแบบกว้าง ๆ ก่อนดีกว่าว่า ถ้าดูกันทั่วโลก สถานการณ์การย้ายถิ่นฐานของแรงงานเป็นยังไงบ้าง

    • สถิติการย้ายถิ่นฐาน

    184 ล้านคน หรือ 2.3% ของประชากรโลก ย้ายถิ่นฐานไปอาศัยนอกประเทศบ้านเกิด

    43% ของคนที่ย้ายถิ่นฐานเดินทางมาจากประเทศที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง

    • ปัจจัยที่มีผลต่อการย้ายถิ่นฐาน

    ความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลก

    แนวโน้มประชากรที่เปลี่ยนไป

    การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

    • ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจากการมีแรงงานย้ายถิ่นฐาน

    จากรายงานของ World Bank : World Development Report 2023 พบว่า

    การมีแรงงานข้ามชาติ ช่วยเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ให้ประเทศได้ กรณีแรงงานที่ย้ายมามีทักษะและคุณสมบัติที่ตรงกับความต้องการของสังคมปลายทาง

    กรณีผู้ลี้ภัย การย้ายถิ่นฐานถือเป็นการให้ความคุ้มครองระหว่างประเทศที่ยั่งยืน ทั้งด้านการเงินและสังคม

    เมื่อมีการย้ายถิ่นฐาน ต้องให้ความสำคัญเรื่องการเคารพสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีของผู้ย้ายถิ่นฐาน เพื่อลดความเคลื่อนไหวที่มีปัญหา

    ข้อเสนอแนะ คือ รัฐบาลประเทศต้นทางควรกำหนดให้การย้ายถิ่นของแรงงานเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การพัฒนาประเทศ ส่วนรัฐบาลประเทศปลายทางควรใช้ประโยชน์ในการจับคู่แรงงานย้านถิ่นฐานกับทักษะที่ต้องการ

    ถ้าจะให้สรุปจากข้อมูลนี้ พี่ทุยก็ต้องบอกว่า เรื่องการย้ายถิ่นฐานไปทำงานนอกประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง ก็มีให้เห็นทั่วโลกนั่นแหละ ถ้าจะดูข้อมูลกันจริง ๆ ใกล้ ๆ ตัว เราก็จะเห็นว่า แม้แต่คนไทยเอง ก็มีจำนวนไม่น้อยเลย ที่ย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากทำมาหากินในต่างประเทศ

    สรุปสถานการณ์ แรงงานต่างด้าว ในไทย

    คราวนี้มาโฟกัสที่ประเทศไทยบ้าง ต้องบอกว่าในไทยเองก็มีแรงงานข้ามชาติไม่น้อย และแรงงานข้ามชาติเหล่านี้ก็มีความสำคัญกับรากฐานเศรษฐกิจของเรา

    ถ้าไปดูข้อมูลจาก รายงานการย้ายถิ่นฐานของประเทศไทย ปี 2019 ซึ่งจัดทำโดยคณะทำงานเฉพาะเรื่องแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการย้ายถิ่นของประเทศไทย พบข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้

    28% ของประชากรไทย จะมีอายุมากกว่า 60 ปี ในปี 2031 ทำให้ต้องนำเข้าแรงงานจากต่างชาติมากขึ้น

    ไทยเป็นประเทศที่การว่างงานค่อนข้างต่ำ และมีปัญหาขาดแคลนแรงงานที่ใช้ทักษะน้อย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังพึ่งพาแรงงานทักษะน้อยเป็นหลัก

    จากข้อมูลปี 2010 แรงงานต่างด้าวมีส่วนสำคัญในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย คิดเป็น 4.3-6.6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และมากกว่า 10% ของกำลังแรงงานทั้งประเทศ

    แรงงานต่างด้าว 2

    แรงงานต่างด้าว อยู่ที่ไหนในไทยกันบ้าง

    ถ้าดูจากจำนวนแรงงานต่างด้าวในไทยแล้ว ก็ไม่น้อยเลยทีเดียว สมมติว่าเอามานับรวมกับจำนวนประชากรไทยทั้งประเทศ จากข้อมูลของกรมการปกครอง ณ เดือน ธ.ค. 2022 ที่มี 66.09 ล้านคน ก็หมายความว่า ถ้าเอาจำนวนแรงงานต่างด้าวถูกกฎหมายมารวมกับจำนวนคนไทยทั้งประเทศ ก็จะมีประมาณ 68.83 ล้านคน

    ดังนั้น ถ้าสมมติเราเห็นคนเดินอยู่บนถนนในประเทศไทยทุก 25 คน เราก็อาจจะเจอคนต่างชาติ 1 คน นี่ยังไม่นับรวมแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานแบบผิดกฎหมาย แล้วก็นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวบ้านเรา ฉะนั้น ก็ไม่น่าแปลกใจเลย ที่เดินไปทางไหน ก็เห็นแต่คนต่างชาติเต็มไปหมด

    ข้อมูลงานวิจัย เรื่อง เปิดข้อเท็จจริงแรงงานต่างด้าวในไทย : ตอนที่ 1 แรงงานทักษะต่ำ ที่สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ นำมาเผยแพร่ พบว่า แรงงานทักษะต่ำ โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้าน มักจะเข้ามาทำงานในจังหวัดที่มีพื้นที่ติดชายแดน เช่น ตาก เชียงราย ระนอง

    นอกจากนี้จะกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่หัวเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ สงขลา สุราษฎร์ธานี รวมถึงจังหวัดที่มีโรงงานอุตสาหกรรมอยู่มาก เช่น สมุทรสงคราม สมุทรปราการ ปทุมธานี ชลบุรี และระยอง เป็นต้น ซึ่งก็ค่อนข้างสอดคล้องกับตัวเลขแรงงานล่าสุดที่พี่ทุยนำเสนอไว้ด้านบน

    ถ้าดูข้อมูลของปี 2019 ตามที่งานวิจัยนำเสนอไว้ จะพบว่า แรงงานต่างด้าวทักษะต่ำ จะอยู่ในภาคเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง มากที่สุด 23.2% ของแรงงานทั้งหมดในธุรกิจกลุ่มนี้ รองลงมาคือ ภาคก่อสร้าง การบำบัดของเสียและสิ่งปฏิกูล การผลิต ได้แก่ ผลิตอาหาร ผลิตภัณฑ์ยาง และสิ่งทอ การผลิตไฟฟ้า ก๊าซ ไอน้ำ ระบบปรับอากาศ และกิจกรรมบริการด้านอื่น โดยเฉพาะ บริการซักอบรีด ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากโครงการแลกเปลี่ยนข้อมูลและเศรษฐกิจการเงินระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและนักธุรกิจ ที่พบว่า

    แรงงานต่างด้าวทักษะต่ำส่วนใหญ่ทนต่อสภาพการทำงาน และมักทำงานประเภท 3D ได้แก่ งานหนัก (difficult) งานสกปรก (dirty) และงานอันตราย (dangerous) ซึ่งเป็นงานที่คนไทยไม่นิยมทำ

    โดยรวมแล้ว แรงงานต่างด้าวถือว่ามีความสำคัญกับเศรษฐกิจไทยมาก ไม่ใช่แค่พวกเขาหนีร้อนจากบ้านตัวเองมาพึ่งพาเรา แต่ประเทศของเราก็ต้องพึ่งพาเขามากเช่นกัน

    อย่างไรก็ตาม ปัญหาของแรงงานต่างด้าวที่น่าสนใจคือ การมีแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานผิดกฎหมาย ไม่ได้ขออนุญาตจำนวนมาก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะถ้าจะเข้ามาแบบถูกกฎหมาย ก็จะมีขั้นตอนกระบวนการ มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ที่ฝั่งนายจ้างมองว่า ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ค่อนข้างสูงทีเดียว ถ้าเทียบกับคุณสมบัติของแรงงานที่ต้องการ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีทักษะต่ำ ค่าจ้างไม่แพง จึงเป็นช่องว่างที่ทำให้นายจ้างเองไปรับแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย เพื่อให้มีต้นทุนแรงงานไม่แพง

    สิ่งที่น่าห่วงคือ ไม่ใช่แค่นายจ้างต้องการแรงงานที่ค่าจ้างไม่แพงมาทำงานเท่านั้น  แต่ด้วยความเป็นแรงงานผิดกฎหมาย ดังนั้นก็แรงงานต่างด้าวกลุ่มนี้ก็จะสุ่มเสี่ยงที่จะถูกใช้แรงงานเยี่ยงทาส ทารุณกรรม หรือล่วงละเมิดทางเพศได้ด้วย

    ปัญหาที่อาจจะตามมากับปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย 

    ด้านเศรษฐกิจ

    • การใช้แรงงานราคาถูก มีผลิตภาพต่ำ กระทบขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจประเทศในอนาคต
    • อาจถูกกีดกันทางการค้าจากการใช้แรงงานผิดกฎหมาย
    • รัฐบาลต้องแบกภาระงบประมาณเรื่องการรักษาพยาบาลและการศึกษาเพิ่มขึ้น

    ด้านการเมือง

    • อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กรณีเป็นกลุ่มชนกลุ่มน้อย หรือกลุ่มต่อต้านรัฐบาลต่างประเทศเข้ามา

    ด้านสังคม

    • ปัญหาอาชญากรรม
    • ปัญหาโรคระบาด โรคติดต่อ
    • ปัญหาสถานภาพเด็กที่เกิดในไทย จากแรงงานผิดกฎหมาย
    • ปัญหาภาพลักษณ์ของประเทศ จากการที่ผู้ประกอบการบางรายละเมิดสิทธิมนุษยชนแรงงานต่างด้าว

    เมื่อแรงงานต่างด้าวก็สำคัญและจำเป็นกับเศรษฐกิจ แต่ว่า ถ้าปล่อยให้มีแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายมาก ๆ ก็อาจจะกระทบกับประเทศด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม

    จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายของรัฐบาลชุดใหม่ที่ต้องเข้ามาจัดการเรื่องนี้เหมือนกันว่า จะทำยังไงให้ประเทศได้ประโยชน์สูงที่สุดจากการจ้างแรงงานต่างด้าว โดยที่คำนึงถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน ควบคุมดูแลการเข้ามาให้เป็นไปอย่างถูกกฎหมายมากขึ้น

    แรงงานต่างด้าว กระดูกสันหลัง ของเศรษฐกิจไทย

    ากการวิจัยของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ พบว่า แรงงานต่างด้าวส่วนใหญ่ เป็นแรงงานทักษะต่ำ และตลอดเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ไทยมีการพึ่งพาแรงงานต่างด้าวทักษะต่ำเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเป็นการเข้ามาทำงานที่คนไทยไม่อยากทำ ซึ่งเรียกว่าเป็นงาน 3D ได้แก่

    • งานหนัก (Difficult)
    • งานสกปรก (Dirty)
    • และงานอันตราย (Dangerous)

    ทั้งนี้บริษัทที่มีอัตราการพึ่งพาแรงงานต่างด้าวสูง มักจะเป็นบริษัทที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก และเป็นวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม หรือที่เรียกว่า SMEs โดยสำหรับบริษัทขนาดเล็ก ต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าวมากถึงครึ่งหนึ่งของแรงงานทั้งหมด ในขณะที่บริษัทขนาดใหญ่มีอัตราการพึ่งพาแรงงานต่างด้าวที่ต่ำกว่าบริษัทขนาดเล็กมาก

    จากโครงสร้างของตลาดแรงงาน ก็จะเห็นว่าหากประเทศไทยไม่มีแรงงานต่างด้าว จะทำให้อุปทานแรงงานขาดแคลน และทำให้หลายบริษัทต้องแบกรับต้นทุนค่าจ้างแรงงานมากกว่าที่ควรจะเป็น หรืออาจจะหาลูกจ้างไม่ได้ด้วยซ้ำไป


    ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
    ‘ลูกยิงแห่งปี’ ของ Rory McIlroy คว้าชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่
    Diablo IV : How To Build OP Druid เมื่อเร็ว ๆ นี้
    วิทยาศาสตร์ประชากร การเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของประชากร
    เอฟเวอร์ตัน เลี่ยงตกชั้นพรีเมียร์ลีกวันสุดท้ายอย่างสุดดราม่า
    ติดตามข่าวอื่นๆได้ที่ https://www.hernan-urbina-joiro.com/
    สนับสนุนโดย  ufabet369
    ที่มา www.moneybuffalo.in.th